วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555



วิธีทำ ทับทิมกรอบ สูตร ทับทิมกรอบ

วิธีทำ ทับทิมกรอบ สูตร ทับทิมกรอบ วิธีทำทับทิมกรอบ
วิธีทำ ทับทิมกรอบ สูตร ทับทิมกรอบ : Eazydo วันนี้ขอนำวิธีทำ สูตรลับความอร่อย ดีๆ มาให้ท่านผู้อ่าน เหมือนเดิม ซึ่ง การทำอาหาร ของวันนี้คือ ทับทิมกรอบ อาหารชนิดนี้นั้น เป็นของโปรดที่นิยม รับประทาน นอกจากรสชาติที่อร่อย แล้วก็ยัง อุดมไปด้วยคุณค่าทางด้านอาหาร เอาหละ ตอนนี้ทุกคนน่าจะพร้อม ที่จะเริ่มทำอาหารกันแล้ว มาดูกันเลยว่า จานเด็ดของเราในวันนี้ มีวิธีทำ และ เครื่องปรุง ที่เราจะใช้ทำอาหาร อะไรบ้าง รับรองเลยว่า อร่อย ไม่แพ้ร้านอาหาร มาทำให้กิน แน่นอน
วิธีทำทับทิมกรอบ และ เครื่องปรุง
ส่วนผสม
แห้วต้มหั่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ หรือมันแกว
1 ถ้วย
แป้งมัน
1/2 ถ้วย
น้ำตาลทราย
150 กรัม
น้ำทำน้ำเชื่อม
3/4 ถ้วย
มะพร้าวขาว
250 กรัม
น้ำแข็ง
สีขนมสีแดง หรือสีอื่นๆตามชอบ
วิธีทำ1. ละลายสีแดงกับน้ำเล็กน้อย แช่แห้วพอติดสี ตักขึ้นคลุกแป้งให้ติดมากๆ ใส่กระชอนร่อนให้แป้งร่วน2. ต้มน้ำ 5 ถ้วยให้เดือด ลวกเม็ดทับทิม พอลอย 3 นาที ตักขึ้นใส่น้ำเย็น ตักใส่ผ้าขาวบางไว้3. คั้นมะพร้าวใส่น้ำ 1/4 ถ้วย คั้นให้ได้ 3/4 ถ้วย4. ผสมน้ำเชื่อมกับกะทิ เวลารับประทานให้ตักเม็ดทับทิมใส่ถ้วย ใส่น้ำแข็ง

แหล่งที่มา http://www.eazydo.com






            สื่อนำเสนอในปัจจุบันได้มีการพัฒนารูปแบบใหม่ความโด่ดเด่น  น่าสนใจด้วยเทคโนโลยีมัลติมีเดีย (Multimedia) การนำเสนอข้อความหรือเนิ้อหาปริมาณมากๆ ในลักษณะของสิ่งพิมพ์หรือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book)  ก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบจากสิ่งพิมพ์หรือหนังสือที่เป็นไฟล์เนื้อหาเพียงอย่างเดียว ต้องดูด้วยเทคนิคการเลื่อนจอภาพ ไปเป็นเทคนิคการนำเสนอที่มีลักษณะการเปิดหน้าหนังสอแบบเสมือน  เนื้อหาที่นำเสนอเป็นได้ทั้งข้อความ  ภาพนิ่ง  ภาพเคลื่อนไหว  วิดีทัศน์ และเสียง  อันเป็นการใช้ความสามารถของเทคโนโลยีมัลติมีเดียมาผสมผสานกบ e-Book  ได้อย่างลงตัว  เป็นสื่อที่ได้รับความนิยมสูงอย่างมากในปัจจุบันภายใตชื่อเรียกว่า Multimedia e-Book

    การพัฒนา Multimedia e-Book  มีซอฟต์แวร์ช่วยหลายตัว โดยซอฟต์แวร์ที่โดดเด่นตัวหนึ่งคือ FlipAlbum ซึ่งปัจจุบันได้พัฒนามาเป็น FlipAlbum 6.0  โดยความสามารถของโปรแกรมที่ทำให้การนำเสนอสื่อออกมาในรูปแบบ 3D Page-Flipping interface และมีชื่อเรียกเฉพาะว่า FlipBook ผลงานที่ได้นี้สามารถนำเสนอได้ทั้งแบบ Offline ด้วยความสามารถ AutoRun อัตโนมัติ และ Online ผ่านโปรแกรมแสดงผลเฉพาะ FlipViewer

    คุณสมบัติขั้นต่ำของคอมพิวเตอร์ 
•  ระบบปฏิบัติการ Windows® 98/2000/ME/XP
•  คอมพิวเตอร์ IBM® PC compatible หนวยประมวลผล Pentium® II
   300 MHz
      - หน่วยความจำแรมอย่างต่ำ 128 MB
      - พื้นที่ว่างของฮาร์ดดิสก์อย่างต่ำ 100 MB
      - การ์ดแสดงผล 16-bit
      - จอภาพที่มีความละเอียดไม่น้อยกว่า 800 × 600 pixels

เตรียมความพร้อมก่อนสร้าง E-Book
         ข้อมูลที่สามารถใส่ลงในโปรเเกรม Flip album ได้นั้นมีรูปเเบบที่หลากหลายทั้งข้อความ, ภาพนิ่ง, ภาพเคลื่อนไหว, ไฟล์วิดิโอเเละไฟล์เสียง ดังนั้นควรจัดเตรียมข้อมูล ตกเเต่งรูปภาพเเละอื่นๆ ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนเเละจัดเก็บรวมกันไว้ใน Folder ที่กำหนดขึ้นเช่น  C:\my pic เป็นต้น ทั้งนี้ไฟล์ที่สามารถใช้ได้ ได้เเก่ (GIF, JPG, PNG, BMP, WMF, ICO, PCX, TIF, PCD, PSD); OEB Package Format (OPF); Sound Files (MID, WAV, MP3); Video Files (AVI, MPG)

การสร้างเอกสาร E – Book
     เปิดโปรแกรม FlipAlbum  จากเมนูคำสั่ง Start, Program, E-Book Systems, flipAlbum 6 Pro, FlipAlbum Pro  จะปรากฏจอภาพทางาน  โดยส่วนสำคัญของการสร้าง e-Book อย่างง่ายและเร็วนี้คือจอภาพ QuickStart
(ถ้าไม่ปรากฏให้เลือกคำสั่ง File, Start Wizard)





จากภาพดังกล่าวมี ขั้นตอนการทำงาน 3 ขั้นตอนดังนี้ 
1. คลิกรายการ Open Folder  แล้วเลือกโฟลเดอรที่เตรียมภาพไว้ก่อนหน้านี้
  (ตัวอย่างคือโฟลเดอร์ Graffiti)



2. จากนั้นคลิกรายการ Page Layout  เพื่อเลือกรูปแบบของสื่อ ทั้งนี้รูปแบบ Single image per page  เป็นลักษณะการนำเสนอภาพแยกเป็น 2  หน้ากระดาษ  และรูปแบบ Centerfold page เป็นลักษณะการนำเสนอภาพบนกระดาษแผ่นใหญ่แผ่นเดียว ทั้งนี้เมื่อคลิกเลือกจะปรากฏ Effect สีขาวฟุ้งๆ รอบรูปแบบที่เลือก



3.  จากนั้นคลิกเลือก Themes เพื่อเลือกลักษณะปก และพื้นหนังสือ



4.  เมื่อครบทั้ง 3 ขั้นตอนก็คลิกปุ่ม Finish โปรแกรมจะนำภาพทุกภาพในโฟลเดอร์ที่ระบุมาสร้างเป็น e-Book ให้อัตโนมัติ





การเลื่อนหน้ากระดาษ
  • คลิกบนหน้ากระดาษด้านขวา เพื่อดูหน้าถัดไป
  • คลิกบนหน้ากระดาษด้านซ้าย เพื่อย้อนกลับ
  • เลื่อนเมาส์ไปชี้ที่ขอบหนังสือด้านซ้ายหรือขวามือเพื่อเลือกหน้าที่จะเปิด
  • คลิกปุ่มขวาของเมาส์บนหน้ากระดาษ เเล้วคลิกคำสั่ง Flip To



                          o    Front Cover   คือปกหน้า
                          o    Back Cover  คือปกหลัง
                          o    Overview  คือหน้าสรุปรวมเนื้อหา
                                ซึ่งมีลักษณะเป็นภาพขนาดเล็ก (Thumbnails)

         การทำงานของหน้านี้ แบ่งเป็น 

         >>  การคลิกที่รูปภาพเล็ก เพื่อแสดงภาพแบบเต็มจอ
                กดปุ่ม Esc   เพื่อกลับสู่สภาวะปกติ
          >>  การคลิกที่ชื่อภาพ เพื่อเปิดไปยังหน้านั้นๆ
          >>  ใช้เทคนค Drag & Drop ชื่อไฟล์ภาพ
               เพื่อสลับตำแหน่ง
         >>  คลิกปุ่มขวาของเมาส์ที่รูปเพื่อเปิดเมนูลัด
                ในการทำงาน

o Contents  คือหน้าสารบัญ โปรแกรมจะนำชื่อไฟล์ภาพหรือสื่อมาเป็นรายการสารบัญ ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ตามต้องการ แต่ห้ามใช้สัญลักษณ์พิเศษใดๆ เช่น % ^ /    



การปรับเปลี่ยนอัลบั้มอิสระ
     FlipAlbum จะกำหนดลักษณะของหน้าปก, หน้าเอกสารด้วยภาพที่มีสีสันตาม Themes ที่เลือกเเต่ก็สามารถปรับเเต่งได้เอง โดย
1. เลือกหน้าเอกสารที่ต้องการปรับเเก้ไข
2. คลิกขวาพื้นที่หน้านั้น เเล้วเลือกคำสั่ง Page Properties
3. เลือกลักษณะของพื้นเอกสาร 
      • Default   ตามค่าเริ่มต้นของระบบ
      • Color  ระบุสีเพื่อเเสดงผลเป็นสีของพื้นเอกสาร
      • Texture  ระบุไฟล์กราฟิกอื่นๆ ที่จะนำมาใช้เป็นพื้นเอกสาร
    
     
4.    คลิกปุ่ม OK เพื่อยืนยันการปรับเเต่งหน้าเอกสาร

ตัวอย่างการปรับเปลี่ยนหน้าเอกสาร E-book : Graffiti




การเลือกสันปกเเบบต่างๆ
     เป็นการเลือกรูปเเบบของสันปกอัลบั้มว่าจะใส่ห่วงสันปกหรือไม่ ซึ่งมีหลายเเบบให้เลือก ทำได้โดยคลิกที่คำสั่ง Options >> Book Binder เเละเลือกรูปเเบบที่ต้องการดังรูป






การปรับแต่ง / เพิ่มเติมข้อความ
  • การปรับแต่งแก้ไขข้อความใน e-Book  ทำได้โดยการดับเบิ้ลคลืกที่ข้อความเดิม  ซึ่งจะปรากฏเป็นกรอบข้อความ และแถบเครื่องมือการปรับแต่งข้อความ
  • การเพิ่มข้อความ
    การเพิ่มข้อความ  จะต้องตรวจสอบก่อนว่าข้อความนั้นจะเพิ่มในหน้าซ้าย  หรือหน้าขวาได้หรือไม่ โดยสังเกตจากปุ่มเครื่องมือ Insert Annotation    ซึ่งจะถูกแบ่งครึ่ง  ครึ่งซ้ายคือการเพิ่มข้อความในกระดาษหน้าซ้าย  และคึ่รงขวาคือการเพิ่มข้อความในกระดาษหน้าขวา หากปุ่มเครื่องมือ Insert Annotation  ไม่สามารถคลิกได้  แสดงว่าหน้ากระดาษที่ปรากฏไม่สามารถป้อนข้อความได้  จะต้องเพิ่มหน้ากระดาษที่สามารถป้อนข้อความได้ด้วยคำสั่ง Edit, Insert Page, Left Page หรอ Right Page ก่อน

การปรับแต่งรูปภาพ
  •  การย่อ/ขยายรูปภาพ สามารถทำได้หลากหลายวิธี ได้แก่ 
         - การย่อ/ขยายด้วย Handle
         - การย่อ/ขยายด้วยเมนูคำสั่งทีละภาพ
         - การย่อ/ขยายแบบ Batch ซึ่งให้ผลพร้อมกันหลายๆ ภาพ
  •  การหมุนภาพ
        ภาพที่นำเข้ามาบางภาพอาจจะมีแนวการแสดงผลไม่เหมาะสม ซึ่ง  
        สามารถหมุนภาพให้เหมาะสมได้โดยคลิกขวาที่ภาพ แล้วเลือกคำสั่ง
        Rotate จะปรากฏคำสั่งย่อย ดังนี้
        -  Left by 90    หมุนไปทางซ้าย 90 องศา
        -  Right by 90   หมุนไปทางขวา 90 องศา
        -  By 180   หมุน 180 องศา
        -  By Other Angles  หมุนโดยกำหนดมุมอิสระ


  •  การแสดงภาพด้วย Effect พิเศษ
        ทำได้โดยการคลิกขวาที่ภาพ แล้วเลือกคำสั่ง Effects จะปรากฏ
        คำสั่งย่อย ดังนี้
          - Transparent   ทำให้พื้นของภาพมีลักษณะโปร่งใส โดยโปรแกรมจะ
        แสดงหลอดดูดสี (Eye Dropper) ให้คลิก ในตำแหน่งสีที่ต้องการทำให้
        เป็นสีโปร่งใส  
         -  3D ทำให้ภาพมีลักษณะนูนแบบ 3 มิติ
         -  Shadow  ทำให้ภาพมีเงา
         -  Select Crop Shape  เลือกรุปทรงพิเศษ ซึ่งมีตัวเลือก ดังนี้


เมื่อคลิกรูปแบบที่ต้องการแล้วคลิก OK ภาพดังกล่าวจะแสดงผลด้วยรูปแบบที่เลือก เช่น



           -  Add/Edit Frame ใส่กรอบให้กับรูปภาพ โดยมีลักษณะ
              กรอบภาพ ดังนี้




การเพิ่มรูปภาพ
     การเพิ่มรูปภาพใน e-Book ทำได้โดยคลิกปุ่มเครื่องมือ Insert Multi-media Objects หรือ คลิกขวาที่หน้าเอกสารที่ต้องการเพิ่มรูปภาพเลือก Multi-media Objects






จากนั้นเลือกไดร์ฟ  และโฟลเดอร์ที่ต้องการเลือกรูปภาพ  กรณีที่ไม่ปรากฏภาพตัวอย่างให้คลิกที่ปุ่ม   จากนั้นเลือกภาพที่ต้องการแล้วลากมาวางในหน้ากระดาษ

การใส่ไฟล์วิดีโอ และไฟล์เสียงลงในอัลบั้ม
       นอกจากข้อความและภาพนิ่ง  โปรแกรมยังสนับสนุนการนำเสนอสื่อมัลติมีเดียรูปแบบต่างๆ  เช่น  เสียง  วีดิทัศน์  และภาพเคลื่อนไหว  เช่น Gif Animation  โดยใช้เทคนิคการนำเข้า เช่นเดียวกับรูปภาพ คือใช้ปุ่มเครื่องมือ Insert Multi-media Objects   แล้วลากไฟล์สื่อที่ต้องการมาวางบนหน้ากระดาษ

การทำจุดเชื่อมโยง (Link)
การทำจุดเชื่อมหรือลิงก์ (Link) ด้วยข้อความหรือวัตถุต่างๆ  ไปยังตำแหน่งต่างๆ หรือเรียกว่าเว็บไซต์  ก็เป็นฟังก์ชั่นหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของ e-Book  ดังนั้น FlipAlbum  จงเตรียมคำสั่งเพื่อให้สามารถทำงานได้สะดวก  โดยเลือกกรอบข้อความ  รูปภาพแล้วคลิกขวา จากนั้นเลือกคำสั่ง Set Link..




แหล่งที่มา http://www.oknation.net/blog/freeday888/2009/09/08/entry-1

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

ประวัติวันลอยกระทง



              เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทยส่วนใหญ่ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย หรือเดือนยี่(เดือนที่ 2) ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา"มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ในวันลอยกระทง

              ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาพระแม่คงคาด้วย


ประเพณีในแต่ละท้องถิ่น

              ภาคเหนือตอนบน นิยมทำโคมลอย เรียกว่า "ลอยโคม" หรือ "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" ทำจากผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ให้ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างบอลลูน ประเพณีของชาวเหนือนี้เรียกว่า "ยี่เป็ง" หมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่(ซึ่งนับวันตามแบบล้านนา ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสองในแบบไทย)

จังหวัดตาก จะลอยกระทงขนาดเล็กทยอยเรียงรายไปเป็นสาย เรียกว่า "กระทงสาย"

จังหวัดสุโขทัย ขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไล ไฟพะเนียง

ภาคอีสานจะตบแต่งเรือแล้วประดับไฟ เป็นรูปต่างๆ เรียกว่า "ไหลเรือไฟ"

กรุงเทพฯ จะมี งานภูเขาทอง เป็นรูปแบบงานวัด เฉลิมฉลองราว7-10วัน ก่อนงานลอยกระทง และจบลงในช่วงหลังวันลอยกระทง

ภาคใต้ อย่างที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนั้น ในจังหวัดอื่นๆ ก็จะจัดงานวันลอยกระทงด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ในแต่ละท้องถิ่นยังอาจมีประเพณีลอยกระทงที่แตกต่างกันไป และสืบทอดต่อกันเรื่อยมา

ประวัติ
              เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 3

ปัจจุบันวันลอยกระทงเป็นเทศกาลที่สำคัญของไทย
              ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเที่ยวปีละมากๆ ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวมักจะเป็นช่วงต้นฤดูหนาว และมีอากาศดี ในวันลอยกระทง ยังนิยมจัดประกวดนางงาม เรียกว่า "นางนพมาศ"

ความเชื่อเกื่ยวกับวันลอยกระทง
# เป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำ ได้ดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงในแม่น้ำ
# เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ประทับรอยพระบาทไว้หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย
# เป็นการลอยความทุกข์ ความโศกรวมถึงโรคภัยต่างๆ ให้ลอยไปกับแม่น้ำ
# ชาวไทยในภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ตามตำนานเล่าว่า พระอุปคุตทรงสามารถปราบพญามารได้ 


ขลุ่ยรีคอร์เดอร์



ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ (Recorder) เป็นเครื่องเป่าดนตรีสากล จัดอยู่ในประเภทเครื่องเป่าลมไม้ชนิดไม่มีลิ้น เป็นเครื่องดนตรีที่มีขนาดเล็ก โครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน ราคาถูก จึงเหมาะสำหรับนำมาใช้ฝึกหัดปฏิบัติเครื่องดนตรีสำหรับนักเรียน.....
รีคอร์เดอร์ (Recorder ) มีประวัติอันยาวนาน นักประวัติศาสตร์เครื่องดนตรีได้กล่าวไว้ว่า มีมาตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 12 ซึ่งในสมัยนั้นเครื่องเป่าลมไม้ที่ได้รับความนิยมคือ ฟลาโกเล็ท (flageolet) ซึ่งมีรูนิ้วค้ำ 2 รู และรูนับเสียง 4 รู แต่เมื่อรีคอร์เดอร์ได้พัฒนาขึ้นในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 จากหลักฐานที่บันทึกเก่าแก่ที่สุดของ Henry Earl of Derby ซึ่งต่อมาได้สถาปนาเป็นพระเจ้าเฮนรี่ที่ 4 ได้เรียกเครื่องดนตรีนี้ว่า Fisula nomic Recorder (A pipe called a memento) หมายถึง “ เครื่องดนตรีที่เป็นท่อเรียกว่าเครื่องดนตรีแห่งความคิดถึง ความทรงจำ” และด้วยเสียงที่มีความไพเราะอ่อนหวาน นุ่มนวล จึงทำให้รีคอร์เดอร์ ได้รับความนิยมเข้ามาแทนฟลาโกเล็ท โดยเฉพาะอังกฤษจนสามารถกล่าวได้ว่าเป็นประเทศที่ให้กำเนิดขลุ่ยรีคอร์เดอร์ รีคอร์เดอร์ได้ผ่านการพัฒนามาเป็นเวลานาน นับตั้งแต่สมัยกลาง เป็นที่นิยมมาก ในยุคเรเนซองค์ (Renaisance; 1450-1650) จนกระทั่งเจริญรุ่งเรืองสุดขีดในสมัยบาโร้ค (Baroque) ดังปรากฏงานประพันธ์ที่ประพันธ์ว้สำหรับขลุ่ยรีคอร์เดอร์ โดยคีตกวีคนสำคัญ ๆ เช่น เพอเซล (Henry Percell) บ๊าค (Bach) แฮนเดิล (Handell) และเริ่มหมดความนิยมเนื่องจากมีฟลุ้ทเข้ามาแทน แต่ต่อมาเมื่อถึงสมัยคลาสสิก (Classic) ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง แต่ด้วยเสียงที่มีความเบามากจึงทำให้ไม่เคยถูกนำไปใช้ในวงซิมโฟนีออร์เคสตร้าเลย จึงทำให้ขลุ่ย รีคอร์เดอร์ค่อย ๆ ลดบทบาทลงไป รีคอร์เดอร์ มีความหมายหลากหลายประการ เช่น รีคอร์เดอร์มีที่มาจากการที่ขลุ่ยชนิดนี้มีเสียงหรือร้องได้คล้ายนก หรือบางครั้งคำว่ารีคอร์เดอร์อาจจะหมายถึงเสียงนกหวีดที่เลียนเสียงร้องของนก หรือนกหวีดที่สร้างขึ้นเพื่อทำเสียงร้องของนกนั่นเอง รีคอร์เดอร์แต่เดิมเป็นท่อนเดียว จนในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีช่างไม้ชื่อ ชอง ฮ็อค เทเทอรี (Chong Hot Teterre) ซึ่งเป็นช่างไม้ในกรุงปารีส ได้สร้างรีคอร์เดอร์ออกเป็น 3 ท่อน เช่นปัจจุบัน และบุคคลที่เริ่มนำขลุ่ยรีคอร์เดอร์ มาฟื้นฟูใหม่ในปี คศ. 1919 คือ Arnold Dolmetsch ซึ่งเป็นช่างทำเครื่องดนตรี และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาขลุ่ยรีคอร์เดอร์ก็ได้รับความนิยมหันกลับมาเล่นกันใหม่ และกลายเป็นเครื่องดนตรีที่มีความสำคัญยิ่งในระบบการศึกษา เนื่องจากราคาถูกและคุณภาพของเสียงขลุ่ยรีคอร์เดอร์ที่สามารถบรรเลงออกมาสามารถถ่ายทอดความสุนทรีด้านดนตรีได้อย่างวิเศษยิ่งอีกเครื่องหนึ่ง ใบความรู้ที่ 2 : ฐานที่ 2 เรื่อง ประเภทของขลุ่ยรีคอร์เดอร์ เครื่องดนตรีในตระกูลขลุ่ยรีคอร์เดอร์ แบ่งออกได้หลายชนิด แต่ที่ยังคงใช้และปรากฏอยู่ในปัจจุบันแบ่งเป็น 6 ชนิดตามระดับเสียง คือ 1. ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ระดับเสียงโซปรานิโน (Sopranino) มีความยาว 9 นิ้ว เป็นขลุ่ยที่เล็กที่สุด และมีระดับเสียงที่สูงที่สุด 2. ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ระดับเสียงโซปราโน (Soprano) หรือระดับเสียง Descant เป็นขลุ่ยรีคอร์เดอร์ที่นิยมใช้และพบเห็นได้มาก มีความยาว 12.5 นิ้ว ใช้ในการเล่นแนวทำนอง 3. ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ระดับเสียงอัลโต(Alto) หรือระดับเสียง Treble เป็นขลุ่ยรีคอร์เดอร์ที่มี ระดับเสียงต่ำกว่าขลุ่ยรีคอร์เดอร์ โซปราโน 5 ระดับเสียง นิยมใช้บรรเลงคู่กับขลุ่ยรีคอร์เดอร์โซปราโน มีความยาว 18.5 นิ้ว หรือมีความยาวเป็นสองเท่าของรีคอร์เดอร์โซปรานิโน 4. ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ระดับเสียงเทเนอร์ (Tenor) เป็นรีคอร์เดอร์ที่มีเสียงต่ำกว่าระดับเสียง อัลโต นิยมใช้ผสมวงรีคอร์เดอร์ มีความยาวประมาณ 25 นิ้ว หรือยาวเป็นสองเท่าของรีคอร์เดอร์โซปราโน 5. ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ระดับเสียงเบส (Bass) เป็นเครื่องดนตรีที่มีระดับเสียงต่ำ มีขนาดใหญ่ อ้วน นิยมนำมาเล่นผสมวงรีคอร์เดอร์ มีความยาว 36 นิ้ว ซึ่งยาวเป็นสองเท่าของรีคอร์เดอร์อัลโต 6. ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ระดับเสียงเกรทเบส (Great Bass) เป็นเครื่องดนตรีที่มีระดับเสียงต่ำที่สุด ไม่นิยมใช้ พบได้ค่อนข้างน้อย มีความยาว 49 นิ้ว ใบความรู้ที่ 3 : ฐานที่ 3 เรื่อง ลักษณะและส่วนประกอบของขลุ่ยรีคอร์เดอร์ ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ (Recorder) เป็นเครื่องดนตรีที่มีลักษณะเป็นท่อตั้งตรง มีปกเป่าและรูเปิดปิดบังคับทิศทางลมเพื่อให้เกิดเสียง ซึ่งแบ่งสัดส่วนออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนบน ส่วนกลาง และส่วนล่าง โดยส่วนบนเป็นส่วนที่ใช้ปากเป่าทำให้เกิดเสียง ในส่วนกลางและส่วนล่างเป็นส่วนที่ทำให้เกิดเสียงที่ออกมาเป็นระดับเสียงสูงและเสียงต่ำแตกต่างกัน โดยใช้มือซ้ายจับอยู่ที่ส่วนบนและมือขวาจับอยู่ที่ส่วนล่าง โดยใช้นิ้วเปิดปิดรูบังคับทิศทางลม เพื่อให้เกิดระดับเสียงสูงต่ำตามที่ต้องการ รีคอร์เดอร์ โซปราโน เป็นขลุ่ยรีคอร์เดอร์ที่มี 3 ส่วนประกอบเข้าด้วยกันคือ  ส่วนบน คือ กำพวดและปากนกแก้ว  ส่วนกลาง คือ รูนิ้วและท่อลม  ส่วนล่าง คือ รูนิ้วและลำโพง ทั้ง 3 ส่วนนี้จะทำหน้าที่อย่างสัมพันธ์กัน จะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้ ซึ่งความสำคัญของแต่ละส่วนมีดังนี้ 1. กำพวด บริเวณปากเป่าใช้บังคับทิศทางลมเพื่อไปกระทบกับปากนกแก้วและรูนิ้ว บังคับเสียง เพื่อให้เกิดเสียงสูงต่ำ ดังเบา ยาวสั้นตามต้องการ 2. ปากนกแก้ว อยู่บนเลาขลุ่ยตรงสุดปลายของกำพวด ตรงกับช่องปากเป่าพอดี ห่างจาก กำพวดด้านบนประมาณ 1.5 นิ้ว ปากนกแก้วมีลักษณะเป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวประมาณ 0.5 เซนติเมตร กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร แต่ส่วนยาวนั้นเท่าที่เป็นรูจริง ๆ ยาวประมาณ 0.5 เซนติเมตร ส่วนที่เหลือด้านล่างจะเซาะเอียงจากผิวลำตัวเข้าไปทะลุด้านในของตัวขลุ่ย ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อจะให้เกิดเป็นเสียงขลุ่ยนั่นเอง 3. รูนิ้วและรูนิ้วค้ำ รูเหล่านี้จะเจาะอยู่ห่างด้านบนของเลาขลุ่ย ซึ่งมีทั้งหมด 10 รูด้วยกัน รูแรกห่างจากกำพวด 5.5 นิ้ว ส่วนรูสุดท้ายอยู่ห่างจากลำโพง 1.5 นิ้ว รูแต่ละรูเจาะห่างกันประมาณ 1 นิ้ว รูเหล่านี้มีไว้สำหรับเปิด-ปิดบังคับเสียง ให้เกิดเป็นเสียงสูงต่ำตามที่ต้องการ 4. ท่อลม เป็นส่วนที่ลมผ่านเข้าไปในกำพวด ผ่านปากนกแก้ว รูนิ้วไปจนถึง ลำโพงส่วนปลายสุดของขลุ่ยรีคอร์เดอร์โซปราโน เพื่อกระทบกับส่วนต่าง ๆ ทำให้เกิดเสียงตามที่ต้องการ 5. ลำโพง เป็นส่วนที่ทำให้เกิดเสียง เมื่อเพิ่มจำนวนลมผ่านปากนกแก้ว รูนิ้วและท่อลม มากขึ้นเท่าใดเสียงที่ออกมาก็จะดังขึ้นตามลมที่เป่าออกมา หรือถ้าเป่าลมจำนวนน้อยเสียงที่ออกมาก็จะเบาตามลักษณะลมที่เป่า โดยลำโพงมีหน้าที่ขยายเสียงตามที่ต้องการของผู้เป่า ภาพแสดงส่วนประกอบขลุ่ยรีคอร์เดอร์ ใบงานที่ 3 : ฐานที่ 3 เรื่อง ลักษณะและส่วนประกอบของขลุ่ยรีคอร์เดอร์ คำสั่ง ให้สมาชิกในกลุ่มของท่านร่วมกันทบทวนความรู้จากใบความรู้ที่ 3 แล้วบอกชื่อส่วนประกอบของขลุ่ยรีคอร์เดอร์ที่กำหนดให้ ใบเฉลย : ใบงานที่ 3 เรื่อง ลักษณะและส่วนประกอบของขลุ่ยรีคอร์เดอร์ ใบความรู้ที่ 4 : ฐานที่ 4 เรื่อง วิธีดูแลรักษาและเก็บขลุ่ยรีคอร์เดอร์ การดูแลรักษาขลุ่ยรีคอร์เดอร์ ขลุ่ยรีคอร์เดอร์โดยทั่วไปแล้วมีวิธีดูแลรักษาดังนี้ 1. นำขลุ่ยรีคอร์เดอร์ ล้างด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำอุ่นที่ผสมสบู่อ่อน ๆ ทุกครั้ง หลังการใช้งาน (ดังภาพที่ 1) ภาพที่ 1 แสดงการล้างขลุ่ยด้วยน้ำสะอาด 2. การประกอบหรือถอดขลุ่ยรีคอร์เดอร์ ควรถอดข้อต่อด้วยการค่อย ๆ หมุนออกตามแนวเข็มนาฬิกา ท่อนส่วนหัว(Head Joint) ที่ล้างสะอาดแล้ว ควรเช็ดด้วยผ้านุ่ม ๆ ที่สะอาด ห้ามใช้การสะบัดให้แห้ง เพราะขลุ่ยรีคอร์เดอร์อาจแยกหลุดออกจากกัน หรือหล่นแตกได้ง่าย ดังภาพที่ 2 ภาพที่ 2 แสดงการทำความสะอาดส่วนหัวขลุ่ยรีคอร์เดอร์ 3. การทำความสะอาดส่วนกลาง (Middle Joint) และส่วนท้าย (Foot Joint) โดยวิธีใช้ ผ้านุ่มที่สะอาดเช็ด และการถอดข้อต่อออกจากกัน อาจใช้ไม้หรือแท่งพลาสติกทำความสะอาด โดยสอดผ้าเข้าไปเช็ดข้างในตัวขลุ่ยให้สะอาด ดังภาพที่ 3 ภาพที่ 3 แสดงการทำความสะอาดส่วนกลางขลุ่ยรีคอร์เดอร์ 4. เมื่อเห็นว่าแห้งที่แล้ว ควรทาวาสลินที่บริเวณข้อต่อต่าง ๆ เพื่อง่ายต่อการประกอบ เข้าด้วยกัน และไม่แน่นเกินไปเมื่อจะถอดออกมาทำความสะอาดในครั้งต่อไปดังภาพที่ 4 5. ควรเก็บใส่ซองเก็บ หรือกล่องที่ติดมากับตัวเครื่อง เพื่อความเป็นระเบียบ ฝุ่นไม่เกาะ แล้วนำไปเก็บในตู้ หรือบริเวณที่เก็บเครื่องดนตรีให้เรียบร้อยดังภาพที่ 5 ภาพที่ 4 แสดงการทาวาสลินที่ข้อต่อ ภาพที่ 5 ขลุ่ยรีคอร์เดอร์และซองเก็บ โดยทั่วไปขลุ่ยรีคอร์เดอร์ มือยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือชนิดที่ทำด้วยไม้กับชนิดที่ทำด้วยพลาสติก ซึ่งรีคอร์เดอร์ที่ทำด้วยไม้จะมีราคาแพงกว่า ดูแลรักษาลำบาก ดังนั้นในปัจจุบันจึงนิยมใช้รีคอร์เดอร์ที่ทำด้วยพลาสติก เพราะหาได้ง่ายและมีราคาถูก แต่ไม่ว่าจะเป็นไม้หรือพลาสติก รีคอร์เดอร์ทั้ง 2 ชนิดก็ต้องมีการดูแลรักษาเป็นอย่างดีเพื่อประโยชน์ดังต่อไปนี้ ประโยชน์ของการดูแลรักษาขลุ่ยรีคอร์เดอร์  เครื่องดนตรีสะอาดไม่เป็นอันตรายต่อผู้เป่า  เพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องดนตรี  เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย รีคอร์เดอร์ทั้งชนิดไม้และชนิดพลาสติกมีข้อจำกัดในการดูแลรักษาต่างกัน ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้ รีคอร์เดอร์ชนิดไม้ รีคอร์ดอร์ชนิดพลาสติก 1. หลังจากใช้เสร็จแล้วทุกครั้งต้องทำให้ ทุกส่วนแห้งสนิทโดยการใช้ผ้าแห้งเช็ดให้แห้ง 2. ไม่ควรนำรีคอร์เดอร์ไปเก็บไว้ในที่ ๆ อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงสลับไปมา 3. ทาครีมที่ไม้ก้อกที่ใช้สำหรับปิดข้อต่อ ของขลุ่ยรีคอร์เดอร์ เพื่อไม่ให้ไม้ก๊อกแห้ง 4. ส่วนต่าง ๆ ของข้อต่อต้องทาด้วย น้ำมันรักษาเนื้อไม้บาง ๆ ทุก 6 เดือน 1. ต้องทำความสะอาดทุกครั้งด้วยน้ำสบู่ อ่อน ๆแล้วล้างด้วยน้ำอุ่น 2. ใช้ผ้าเช็ดให้สะอาดและแห้ง 3. ถอดส่วนต่าง ๆ ของขลุ่ยออกมาทำ ความสะอาดด้วยการใช้ไม้สอดผ้าเช็ดทำความสะอาด ใบงานที่ 4 : ฐานที่ 4 เรื่อง วิธีดูแลรักษาและเก็บขลุ่ยรีคอร์เดอร์ คำชี้แจง ให้นักเรียนนำขลุ่ยรีคอร์เดอร์มาถอดทำความสะอาด ประกอบขลุ่ยรีคอร์เดอร์ และเก็บให้เรียบร้อยถูกต้องตามวิธีการดูแลรักษาขลุ่ยรีคอร์เดอร์ที่ได้ศึกษามาจากใบความรู้ที่ 4 เกณฑ์การพิจารณาให้คะแนน 3 ถอดทำความสะอาดขลุ่ยรีคอร์เดอร์และประกอบขลุ่ยถูกต้องตามขั้นตอน 2 ถอดทำความสะอาดขลุ่ยรีคอร์เดอร์และประกอบขลุ่ยสลับขั้นตอน 1 ไม่ถอดทำความสะอาดขลุ่ยรีคอร์เดอร์และไม่ประกอบขลุ่ยตามขั้นตอน ใบเฉลย : ใบงานที่ 4 เรื่อง วิธีดูแลรักษาและเก็บขลุ่ยรีคอร์เดอร์ คำชี้แจง ให้นักเรียนนำขลุ่ยรีคอร์เดอร์มาถอดทำความสะอาด ประกอบขลุ่ยรีคอร์เดอร์ และเก็บให้เรียบร้อยถูกต้องตามวิธีการดูแลรักษาขลุ่ยรีคอร์เดอร์ที่ได้ศึกษามาจากใบความรู้ที่ 4 1. นำขลุ่ยรีคอร์เดอร์ ล้างด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำอุ่นที่ผสมสบู่อ่อน ๆ ทุกครั้ง 2. การประกอบหรือถอดขลุ่ยรีคอร์เดอร์ ควรถอดข้อต่อด้วยการค่อย ๆ หมุนออกตามแนวเข็มนาฬิกา ท่อนส่วนหัว(Head Joint) ที่ล้างสะอาดแล้ว ควรเช็ดด้วยผ้านุ่ม ๆ ที่สะอาด ห้ามใช้การสะบัดให้แห้ง เพราะขลุ่ยรีคอร์เดอร์อาจแยกหลุดออกจากกัน หรือหล่นแตกได้ง่าย 3. การทำความสะอาดส่วนกลาง (Middle Joint) และส่วนท้าย (Foot Joint) โดยวิธีใช้ ผ้านุ่มที่สะอาดเช็ด และการถอดข้อต่อออกจากกัน อาจใช้ไม้หรือแท่งพลาสติกทำความสะอาด โดยสอดผ้าเข้าไปเช็ดข้างในตัวขลุ่ยให้สะอาด 4. เมื่อเห็นว่าแห้งที่แล้ว ควรทาวาสลินที่บริเวณข้อต่อต่าง ๆ เพื่อง่ายต่อการประกอบ เข้าด้วยกัน และไม่แน่นเกินไปเมื่อจะถอดออกมาทำความสะอาดในครั้งต่อไป 5. ควรเก็บใส่ซองเก็บ หรือกล่องที่ติดมากับตัวเครื่อง เพื่อความเป็นระเบียบ ฝุ่นไม่เกาะ แล้วนำไปเก็บในตู้ หรือบริเวณที่เก็บเครื่องดนตรีให้เรียบร้อย

ที่มา http://www.kroobannok.com/blog/34521

ประวัติที่มา "แซกโซโฟน"
"แซกโซโฟน" ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อค.ศ.1840 ที่นครปารีส โดย "อดอล์ฟ แซกซ์" (ค.ศ.1814-1894) ชาวเบลเยียม ประวัติศาสตร์ดนตรีบันทึกว่า นายวงโยธวาทิตผู้หนึ่งติดต่อแซกซ์ให้ประดิษฐ์เครื่องเป่าชนิดใดก็ได้ที่ให้เสียงดังเพื่อใช้ในวงโยธวาทิต และต้องการให้เครื่องดนตรีชนิดใหม่นี้มีเสียงคล้ายเครื่องลมไม้ด้วย แซกซ์นำเอาเครื่องดนตรีประเภทเครื่องทองเหลืองชนิดหนึ่งที่ล้าสมัยแล้ว เรียกว่า โอฟิไคลด์-ophicleide มาถอดที่เป่าอันเดิมออก แล้วเอาที่เป่าของคลาริเนตใส่แทน แก้กลไกของกระเดื่องที่ปิดรูอีกเล็กน้อย แล้วแซกโซโฟนเลาแรกของโลกก็ถือกำเนิดขึ้น


เบื้องแรกแซกโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีที่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างเครื่องลมไม้กับเครื่องทองเหลือง กระทั่งปราชญ์ดนตรีตัดสินให้จัดอยู่ในประเภทเครื่องลมไม้ เพราะแม้ลำตัวทำด้วยโลหะ แต่เสียงกระเดียดไปทางเครื่องลมไม้ ด้วยส่วนปากเป่าที่ประกอบด้วยลิ้นปี่ทำด้วยไม้ (แผ่นไม้อ้อ)

เสียงของแซกโซโฟนเจิดจ้า สร้างความรู้สึกแปลกหูเหมือนการผสมผสานระหว่างเชลโล คอร์อังแกลส์ และคลาริเนต บรรเลงได้ทั้งเสียงกระซิบกระซาบ อ่อนหวานนุ่มนวล หรือแผดจนแสบโสตประสาท จึงเหมาะสำหรับใช้เป็นเครื่องดนตรีบรรเลงเดี่ยว จากวงโยธวาทิต เดินทางสู่วงแจ๊ซ ที่สุดแซกโซโฟนก็กลายเป็นเครื่องดนตรีที่แจ๊ซจะขาดเสียมิได้ ทั้งยังเป็นที่นิยมในการบรรเลงบทเพลงคลาสสิคสมัยใหม่ไม่น้อย แซกโซโฟนมีทั้งหมด 6 ขนาด ได้แก่ โซปราริโน โซปราโน อัลโต เทเนอร์ บาริโทน และเบส



ที่มา http://www.dek-d.com/board/view.php?id=943127

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

วันคริสต์มาส


  
                                                      

         ถึงช่วงปลายปีทีไร ชาวไทยเราก็มีเรื่องฉลองอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวันปีใหม่หรือวันคริสต์มาสที่กำลังจะเข้ามาถึง แม้ว่าวันคริสต์มาสนี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธสักเท่าไร แต่พี่ไทยซะอย่าง ฉลองได้ทุกเทศกาลอยู่แล้ว แต่ก่อนที่จะไปฉลองกัน ลองมารู้จักกับวันคริสต์มาสก่อนดีไหม

ตำนานวันคริสต์มาส

          คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

          เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

           ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

          เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม


องค์ประกอบในงานคริสต์มาส

 ซานตาครอส
เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี

          นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา

          ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง

 ถุงเท้า           จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง


 ต้นคริสต์มาส
          นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิ้ลและขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก
          โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย

          ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส


 ต้นฮอลลี่



          ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาวทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์




 ดอกไม้คริสต์มาส หรือ Poinsettia

          ตำนานของดอก Poinsettia ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวันคริสต์มาส มาจากเรื่องราวของเด็กหญิงจนๆ คนหนึ่ง ที่ต้องการหาของขวัญไปมอบให้พระแม่มารีในวันคริสต์มาสอีฟ แต่เนื่องจากเธอไม่มีสิ่งของใดๆ ติดตัว จึงเดินทางไปตัวเปล่า และระหว่างทางเธอได้พบกับนางฟ้าที่บอกให้เธอเก็บเมล็ดพืชไว้ ต่อมาเมล็ดพืชนั้นกลับเจริญเติบโตเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีเลือดหมูสดใส ซึ่งก็คือดอก Poinsettia ตั้งแต่นั้นดอก Poinsettia ก็ได้รับความนิยมใช้ประดับประดาบ้านในงานคริสต์มาส
 ดอกคริสต์มาส Christmas Rose          มีต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะเป็นดอกสีขาว และมักออกดอกในช่วงฤดูหนาว ตำนานของดอกคริสต์มาสนี้มีอยู่ว่า ในช่วงที่พระเยซูประสูติ มีผู้รอบรู้ 3 คน กับคนเลี้ยงแกะเดินทางมาพบพระเยซู ระหว่างทางพวกเขาพบกับ มาเดลอน เด็กหญิงที่เลี้ยงแกะคนหนึ่ง เมื่อเธอทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญให้พระเยซู มาเดลอนก็เสียใจที่ไม่มีของขวัญใดไปมอบให้พระเยซูบ้าง ก่อนที่นางฟ้าที่เฝ้ามองเธออยู่จะเกิดความเห็นใจจึงร่ายมนตร์เสกดอกไม้สีขาวน่ารักและมีสีชมพูอยู่ตรงปลายกลีบให้เธอ และดอกไม้นั้นคือ ดอกคริสต์มาสนั่นเอง


 เพลงวันคริสต์มาส          เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 แต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส มีเนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่

          เพลงคริสตมาสแบบใหม่นี้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เพราะมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night

          ความเป็นมาของเพลงนี้มาจากวันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปให้เพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั่นเอง และเล่นเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก
 คำอวยพรวันคริสต์มาส          ในวันคริสต์มาสเรามักจะใช้คำอวยพรให้แก่กันและกันว่า Merry X'mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า "สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ และได้จัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษที่ 4 และค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป



 สีประจำวันคริสต์มาส
สีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาสประกอบด้วย          สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาครอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี

          สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง

          สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฎบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาครอส

          สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว



 การทำมิสซาเที่ยงคืน          การถวายมิสซานี้เกิดขึ้นหลังจากพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ เมื่อไปถึงตรงกับเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเดินทางกลับมาที่พักได้เวลาตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ยังมีสัตบุรุษหลายคนไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วยในตอนแรก พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ในโอกาสวันคริสต์มาส
 เทียนและพวงมาลัย


         พวงมาลัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนใช้หมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับการแขวนพวงมาลัยในวันคริสต์มาสนั้น หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งธรรมเนียมนี้ เกิดจากกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมันได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเพื่อเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะจุดเทียนหนึ่งเล่ม สวดภาวนา และร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกันเป็นเวลา 4 อาทิตย์ก่อนถึงวันคริสต์มาส ประเพณีเป็นที่นิยมอยางมากในประเทศอเมริกา ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำเทียน 1 เล่มนั้นมาจุดไว้ตรงกลางพวงมาลัยสีเขียว และนำไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ส่วนเหตุผลที่พวงมาลัยมีสีเขียวนั้น เป็นเพราะมีการเชื่อกันว่าสีเขียวจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่ว ร้ายได้


 ระฆังวันคริสต์มาส
          เสียงระฆังในวันคริสต์มาสคือการเฉลิมฉลองให้กับการประสูติของพระพุทธเจ้า โดยมีตำนานเล่าว่า มีการตีระฆังช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเพื่อลดพลังความมืด และบ่งบอกถึงความตายของปีศาจ ก่อนที่พระเยซูผู้ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น และระฆังนี้มีเสียงดังกังวาลนานนับชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังนี้จะกลับกลายมาเป็นเสียงแห่งความสุข


 ดาว
          ดาว ในความหมายของชาวคริสต์เตียน หมายถึงการแสดงออกที่ดีของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า "The bright and morning star" มีความหมายพิเศษเหมือนกับว่า ดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม

 เครื่องประดับและแอปเปิ้ล                       

          ในบางแห่งเชื่อว่า ลำต้นของแอปเปิ้ล มองดูคล้ายกับต้นไม้ในสรวงสวรรค์ จึงมีการนำเอาแอปเปิ้ลมาประดับตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ และที่มีสีสันสดใสนั้นเพื่อให้เกิดความรื่นเริงในบ้าน อีกทั้งแสงระยิบระยับที่สะท้อนไปมา ยังดูสวยงามคล้ายแสงเทียนและแสงไฟ


 ของขวัญวันคริสต์มาส
                     
          การแลกเปลี่ยนของขวัญในวันคริสต์มาสนั้น เริ่มต้นจากเมือง Saturnalia ในช่วงยุคโรมัน ต่อมาชาวคริสต์รับประเพณีนี้เข้ามา ด้วยความเชื่อว่า การให้ของขวัญนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับของขวัญประเภททอง, ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ ยางไม้หอม ซึ่งพวกนักเวทย์จากตะวันออกที่เดินทางมาคารวะพระเยซูคริสต์ นำมาให้ตอนที่ท่านประสูติ

          ทั้งหมดนั้นก็คือการเฉลิมฉลองให้กับพระเยซู ที่เกิดมาเพื่อชำระบาปให้แก่ชาวคริสต์ทั้งหลาย และเป็นเทศกาลที่นำความสุข สนุกสนาน มาสู่หมู่มวลมนุษย์ 

แหล่งที่มา http://hilight.kapook.com/view/18771